1. ทำไมเขียน resume ภาษาอังกฤษสมัครงาน แต่ไม่ได้งานสักที
credit
ลองเปลี่ยนวิธีการเขียนเรซูเม่แบบเดิม ๆ มาเป็นวิธีการเขียน resume แบบมีฟอร์แมต (format) หรือรูปแบบ ที่จะช่วย support คุณสมบัติหรือทักษะที่เรามีให้โดดเด่นขึ้นมา หรือในบางครั้งก็ช่วยกลบจุดด้อยของเราได้ โดยเลือกฟอร์แมตที่เหมาะกับคุณสมบัติที่เรามี หากต้องการเน้น Skills ก็ให้เลือกฟอร์แมตที่เน้นทักษะ ดูตัวอย่างรูปแบบหรือฟอร์แมตในการเขียนเรซูเม่
ได้ที่
หรือถ้าเราไม่ได้เขียนจุดมุ่งหมายในการทำงาน/Job Objective ทางบริษัทที่รับสมัครอาจจะไม่ทราบเลยก็ได้ว่าเราต้องการสมัครงานตำแหน่งอะไร
หรืออาจลองเพิ่มหัวข้อ Special Interests ใน resume ดูสิคะ จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับเรซูเม่ได้ จะรวบรวมความสนใจ/ความชอบส่วนตัวหรือบุคลิกลักษณะนิสัยส่วนตัวที่เหมาะกับตำแหน่งงาน รวมถึงคอร์สอบรมต่าง ๆ ที่เข้าร่วม ก็อนุโลมไว้ในหัวข้อนี้ได้ทั้งนั้นค่ะ
ใครสมัครงานหลายครั้งแล้ว แต่ยังไม่ได้รับเรียกสัมภาษณ์หรือยังไม่ได้งานสักที ลองส่ง resume มาให้แอดดูได้นะคะ ตามอีเมล์นี้ ad.warisara@gmail.com แอดจะช่วยแก้ให้ค่ะ
2. ทำไม format ในการเขียน resume ภาษาอังกฤษ ถึงสำคัญนักหนา
ฟอร์แมตสำหรับเรซูเม่ภาษาอังกฤษเพื่อสมัครงานนั้นเป็นรูปแบบในการนำเสนอประวัติการทำงานของผู้สมัครในแบบที่จะทำให้ผู้สมัครงานดูดีที่สุด รูปแบบการนำเสนอที่ต่างกันก็จะสร้างการรับรู้ที่ต่างกันให้กับผู้อ่านเรซูเม่ ซึ่งแต่ละรูปแบบนั้นก็มีข้อดีข้อเสียต่างกันไป อยู่ที่ว่าเรามีคุณสมบัติเหมาะกับ format ไหน พูดง่าย ๆ ก็คือ เป็นวิธีการพรีเซนต์ตัวเรานั่นเองค่ะ
3. มีใบเซอร์เยอะมาก รวบรวมเขียนใน resume ทั้งหมดเลยดีมั้ย จะได้ดูมีคุณสมบัติเยอะดี
HR ไม่ชอบอ่านเรซูเม่ยาว ๆ ค่ะ ถ้ายาวแต่ตรงประเด็นก็โอเค แต่ถ้ายาวแล้วนอกเรื่องเยอะล่ะก็ อาจจะพาลไม่อ่านส่วนที่เหลือก็เป็นได้ ในกรณีนี้ เราควรเลือกเขียนรางวัลหรือใบประกาศนียบัตรที่เกี่ยวกับตำแหน่งงานที่สมัครจะดีกว่าค่ะ ซึ่งจะทำให้เนื้อหาใน resume ไม่ออกนอกประเด็นและไม่ยาวเกินไป
4. เขียนทักษะ skills อะไรใน resume ดี?
ทักษะที่ควรเขียนในเรซูเม่นั้นมีหลายประเภทแตกต่างกันไปตามตำแหน่งงานที่ต้องการสมัครค่ะ วิธีการที่จะรู้ว่า เราควรเขียนทักษะอะไรใน resume คือ ดูว่าตำแหน่งงานที่เราต้องการสมัครนั้น ใช้ทักษะอะไรบ้างในการทำงานให้สำเร็จลุล่วง ทักษะที่จำเป็นต้องใช้ในการทำงานในตำแหน่งนั้น ก็คือทักษะที่เราควรเขียนในเรซูเม่นั่นเอง จากนั้นก็พิจารณาดูว่า เรามีประสบการณ์ทำงานอะไรบ้างตามทักษะนั้น แล้วเรียบเรียงเป็นประโยคให้สวยงาม
ตัวอย่าง
ตำแหน่ง Sales = Communication Skills, Interpersonal Skills, Negotiation and Persuasion Skills, Marketing Skills, Ability to work under pressure, Problem Solving Skills, Teamwork Skills
ตำแหน่ง Secretary = Organizational Skills, Communication Skills, Clerical or Detailed Skills, Time Management Skills, Problem Solving Skills, Computer Skills
5. การเขียนทักษะใน resume คืออะไร
หัวข้อทักษะในเรซูเม่นั้นเป็นการเขียนอธิบายประสบการณ์ทำงานของเราใน Resume เช่นกันค่ะ เพียงแต่เราต้องการเน้นบอก HR ถึงทักษะที่เรามี ซึ่งเราได้มาจากการทำงานและประสบการณ์ที่ผ่านมา หรือเป็นการบอกว่า เรามีประสบการณ์ในการทำงานนี้มามาก จนกลายเป็น Skills หรือทักษะที่เราเชี่ยวชาญมากนั่นเอง
6. เขียนเกรดเฉลี่ยในเรซูเม่ดีรึเปล่า?
พิจารณาโดยดูว่า หากการเขียนเกรดเฉลี่ยจะเป็นการส่งเสริมตัวเรา ก็ควรเขียนค่ะ ทั้งนี้ทั้งนั้นหากนายจ้างไม่ได้ระบุว่าต้องเขียน ก็ไม่ได้มีกฎว่าจำเป็นต้องเขียนค่ะ
7. Resume สั้น ๆ VS Resume ยาว ๆ
เรซุเม่สั้น ๆ หมายถึง เรซูเม่ที่มีเนื้อหาไม่เกิน 1 หน้ากระดาษ A4 เหมาะกับผู้สมัครงานที่สมัครในตำแหน่งทั่วไป ไม่ใช่ตำแหน่งงานระดับสูงหรือตำแหน่งที่ต้องใช้ความชำนาญเฉพาะทางมากนัก
เรซูเม่ยาว ๆ คือ เรซูเม่ที่มีความยาวตั้งแต่ 2-3 หน้ากระดาษ A4 ขึ้นไป เหมาะกับตำแหน่งหัวหน้างานระดับสูง ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ผู้ที่มีประสบการณ์มาก
การเขียน resume สมัครงานทุกตำแหน่ง ไม่ว่าจะเขียนกี่หน้าก็ไม่มีคำว่าผิดค่ะ เพียงแต่โดยทั่วไป HR อาจไม่มีเวลาอ่านเรซูเม่มากนัก เราจึงนิยมเขียน resume ให้มีเนื้อหากระชับและตรงประเด็นที่สุดใน 1 หน้ากระดาษ A4 แต่หากเป็น resume สำหรับหัวหน้างานระดับสูงหรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านซึ่งมีปสก.มากและต้องแจกแจงรายละเอียดมาก การเขียนเรซูเม่หลายหน้าเป็นเรื่องปกติและเหมาะสมค่ะ
8. จำเป็นต้องมีหัวข้อบุคคลอ้างอิงในเรซูเม่หรือไม่
เราสามารถเลือกที่จะเขียนหรือไม่เขียนบุคคลอ้างอิงในเรซูเม่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับความต้องการและความเหมาะสม หรือเลือกที่จะเขียนแบบกลาง ๆ ก็ได้ โดยการขึ้นหัวข้อบุคคลอ้างอิง (References) ไว้ใน resume และเขียนประโยคนี้ลงไป "Available upon request" เท่านั้น HR จะทราบได้ว่าเรามีบุคคลที่สามารถอ้างอิงได้นะ และเราจะจัดหามาให้ถ้าต้องการ
9. เขียน Job Objective ใน resume อย่างไร
การเขียนจุดมุ่งหมายในการทำงานหรือจุดมุ่งหมายในอาชีพให้ดี ควรที่จะเขียนคุณสมบัติที่ดีในตัวเราในทางที่จะเป็นประโยชน์กับองค์กรที่เราสมัครงาน เขียนอะไรได้บ้าง ดูได้ที่
10. ทำไมต้องเขียนจุดมุ่งหมายในการทำงาน/Job Objective
การเขียนจุดมุ่งหมายหรือจุดประสงค์ในการทำงานนั้น ก็คือ การเขียนเพื่อบอกจุดประสงค์ในการสมัครงาน หรืออย่างน้อยก็เพื่อบอกตำแหน่งที่ต้องการสมัคร ว่าต้องการสมัครงานตำแหน่งอะไร หากเราไม่เขียนหัวข้อ Job Objective นี้ แต่เราเขียนบอกตำแหน่งที่เราต้องการสมัครไว้ในหัวข้ออื่น เช่น Summary ก็ได้เช่นกัน แต่ถ้าไม่ได้เขียนชื่อตำแหน่งที่ต้องการสมัครไว้ที่ใดเลย HR อาจสับสนว่าเราต้องการสมัครงานตำแหน่งอะไร อย่างน้อยให้เขียนชื่อตำแหน่งที่ต้องการสมัครไว้ก็ยังดีค่ะ
11. ต้องการเปลี่ยนสายงาน เขียนเรซูเม่อย่างไร
เริ่มต้นด้วย การหาจุดเชื่อมโยงกันระหว่างตัวเรา กับงานในปัจจุบัน และตำแหน่งในสายงานใหม่ที่ต้องการสมัคร ว่ามีสิ่งใดที่นำมาเป็นจุดเด่นในการเขียน resume ได้บ้าง อาจเป็น
เขียนเฉพาะหัวข้อที่เรามีคุณสมบัติ แล้วอธิบายรายละเอียดเป็นหัวข้อย่อยเรียงลำดับลงมา ฟอร์แมตแบบ functional จะช่วยเน้นทักษะและดึงจุดเด่นในตัวเราออกมาได้ และแอดมินแนะนำฟอร์แมตการเขียนแบบผสมที่จะช่วยให้เข้าใจทั้งเรื่องทักษะและลำดับเวลาง่ายขึ้น
12. ไม่แน่ใจว่าจะใช้ Tense อะไรในการเขียน resume ภาษาอังกฤษ?
ขอบคุณรูปภาพจาก www.freepik.com
ใครสมัครงานหลายครั้งแล้ว แต่ยังไม่ได้รับเรียกสัมภาษณ์หรือยังไม่ได้งานสักที ลองส่ง resume มาให้แอดดูได้นะคะ ตามอีเมล์นี้ ad.warisara@gmail.com แอดจะช่วยแก้ให้ค่ะ
2. ทำไม format ในการเขียน resume ภาษาอังกฤษ ถึงสำคัญนักหนา
ฟอร์แมตสำหรับเรซูเม่ภาษาอังกฤษเพื่อสมัครงานนั้นเป็นรูปแบบในการนำเสนอประวัติการทำงานของผู้สมัครในแบบที่จะทำให้ผู้สมัครงานดูดีที่สุด รูปแบบการนำเสนอที่ต่างกันก็จะสร้างการรับรู้ที่ต่างกันให้กับผู้อ่านเรซูเม่ ซึ่งแต่ละรูปแบบนั้นก็มีข้อดีข้อเสียต่างกันไป อยู่ที่ว่าเรามีคุณสมบัติเหมาะกับ format ไหน พูดง่าย ๆ ก็คือ เป็นวิธีการพรีเซนต์ตัวเรานั่นเองค่ะ
- Chronological Format Resume ฟอร์แมตในการเขียนเรซูเม่แบบเรียงตามลำดับเวลา
- Functional Format Resume ฟอร์แมตในการเขียนเรซูเม่แบบเน้นทักษะ
- Combination Format Resume ฟอร์แมตในการเขียนเรซูเม่แบบผสม
- เปรียบเทียบ format ทั้ง 3 แบบใน resume
3. มีใบเซอร์เยอะมาก รวบรวมเขียนใน resume ทั้งหมดเลยดีมั้ย จะได้ดูมีคุณสมบัติเยอะดี
HR ไม่ชอบอ่านเรซูเม่ยาว ๆ ค่ะ ถ้ายาวแต่ตรงประเด็นก็โอเค แต่ถ้ายาวแล้วนอกเรื่องเยอะล่ะก็ อาจจะพาลไม่อ่านส่วนที่เหลือก็เป็นได้ ในกรณีนี้ เราควรเลือกเขียนรางวัลหรือใบประกาศนียบัตรที่เกี่ยวกับตำแหน่งงานที่สมัครจะดีกว่าค่ะ ซึ่งจะทำให้เนื้อหาใน resume ไม่ออกนอกประเด็นและไม่ยาวเกินไป
4. เขียนทักษะ skills อะไรใน resume ดี?
ทักษะที่ควรเขียนในเรซูเม่นั้นมีหลายประเภทแตกต่างกันไปตามตำแหน่งงานที่ต้องการสมัครค่ะ วิธีการที่จะรู้ว่า เราควรเขียนทักษะอะไรใน resume คือ ดูว่าตำแหน่งงานที่เราต้องการสมัครนั้น ใช้ทักษะอะไรบ้างในการทำงานให้สำเร็จลุล่วง ทักษะที่จำเป็นต้องใช้ในการทำงานในตำแหน่งนั้น ก็คือทักษะที่เราควรเขียนในเรซูเม่นั่นเอง จากนั้นก็พิจารณาดูว่า เรามีประสบการณ์ทำงานอะไรบ้างตามทักษะนั้น แล้วเรียบเรียงเป็นประโยคให้สวยงาม
ตัวอย่าง
ตำแหน่ง Sales = Communication Skills, Interpersonal Skills, Negotiation and Persuasion Skills, Marketing Skills, Ability to work under pressure, Problem Solving Skills, Teamwork Skills
ตำแหน่ง Secretary = Organizational Skills, Communication Skills, Clerical or Detailed Skills, Time Management Skills, Problem Solving Skills, Computer Skills
5. การเขียนทักษะใน resume คืออะไร
หัวข้อทักษะในเรซูเม่นั้นเป็นการเขียนอธิบายประสบการณ์ทำงานของเราใน Resume เช่นกันค่ะ เพียงแต่เราต้องการเน้นบอก HR ถึงทักษะที่เรามี ซึ่งเราได้มาจากการทำงานและประสบการณ์ที่ผ่านมา หรือเป็นการบอกว่า เรามีประสบการณ์ในการทำงานนี้มามาก จนกลายเป็น Skills หรือทักษะที่เราเชี่ยวชาญมากนั่นเอง
6. เขียนเกรดเฉลี่ยในเรซูเม่ดีรึเปล่า?
พิจารณาโดยดูว่า หากการเขียนเกรดเฉลี่ยจะเป็นการส่งเสริมตัวเรา ก็ควรเขียนค่ะ ทั้งนี้ทั้งนั้นหากนายจ้างไม่ได้ระบุว่าต้องเขียน ก็ไม่ได้มีกฎว่าจำเป็นต้องเขียนค่ะ
7. Resume สั้น ๆ VS Resume ยาว ๆ
เรซุเม่สั้น ๆ หมายถึง เรซูเม่ที่มีเนื้อหาไม่เกิน 1 หน้ากระดาษ A4 เหมาะกับผู้สมัครงานที่สมัครในตำแหน่งทั่วไป ไม่ใช่ตำแหน่งงานระดับสูงหรือตำแหน่งที่ต้องใช้ความชำนาญเฉพาะทางมากนัก
เรซูเม่ยาว ๆ คือ เรซูเม่ที่มีความยาวตั้งแต่ 2-3 หน้ากระดาษ A4 ขึ้นไป เหมาะกับตำแหน่งหัวหน้างานระดับสูง ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ผู้ที่มีประสบการณ์มาก
การเขียน resume สมัครงานทุกตำแหน่ง ไม่ว่าจะเขียนกี่หน้าก็ไม่มีคำว่าผิดค่ะ เพียงแต่โดยทั่วไป HR อาจไม่มีเวลาอ่านเรซูเม่มากนัก เราจึงนิยมเขียน resume ให้มีเนื้อหากระชับและตรงประเด็นที่สุดใน 1 หน้ากระดาษ A4 แต่หากเป็น resume สำหรับหัวหน้างานระดับสูงหรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านซึ่งมีปสก.มากและต้องแจกแจงรายละเอียดมาก การเขียนเรซูเม่หลายหน้าเป็นเรื่องปกติและเหมาะสมค่ะ
8. จำเป็นต้องมีหัวข้อบุคคลอ้างอิงในเรซูเม่หรือไม่
เราสามารถเลือกที่จะเขียนหรือไม่เขียนบุคคลอ้างอิงในเรซูเม่ก็ได้ ขึ้นอยู่กับความต้องการและความเหมาะสม หรือเลือกที่จะเขียนแบบกลาง ๆ ก็ได้ โดยการขึ้นหัวข้อบุคคลอ้างอิง (References) ไว้ใน resume และเขียนประโยคนี้ลงไป "Available upon request" เท่านั้น HR จะทราบได้ว่าเรามีบุคคลที่สามารถอ้างอิงได้นะ และเราจะจัดหามาให้ถ้าต้องการ
9. เขียน Job Objective ใน resume อย่างไร
การเขียนจุดมุ่งหมายในการทำงานหรือจุดมุ่งหมายในอาชีพให้ดี ควรที่จะเขียนคุณสมบัติที่ดีในตัวเราในทางที่จะเป็นประโยชน์กับองค์กรที่เราสมัครงาน เขียนอะไรได้บ้าง ดูได้ที่
- ดูตัวอย่างวิธีเขียนและเคล็ดลับการเขียนจุดมุ่งหมายในอาชีพ
- ดูตัวอย่างการเขียนจุดมุ่งหมายในอาชีพสำหรับนักศึกษาจบใหม่ / ฝึกงานโดยเฉพาะ
10. ทำไมต้องเขียนจุดมุ่งหมายในการทำงาน/Job Objective
การเขียนจุดมุ่งหมายหรือจุดประสงค์ในการทำงานนั้น ก็คือ การเขียนเพื่อบอกจุดประสงค์ในการสมัครงาน หรืออย่างน้อยก็เพื่อบอกตำแหน่งที่ต้องการสมัคร ว่าต้องการสมัครงานตำแหน่งอะไร หากเราไม่เขียนหัวข้อ Job Objective นี้ แต่เราเขียนบอกตำแหน่งที่เราต้องการสมัครไว้ในหัวข้ออื่น เช่น Summary ก็ได้เช่นกัน แต่ถ้าไม่ได้เขียนชื่อตำแหน่งที่ต้องการสมัครไว้ที่ใดเลย HR อาจสับสนว่าเราต้องการสมัครงานตำแหน่งอะไร อย่างน้อยให้เขียนชื่อตำแหน่งที่ต้องการสมัครไว้ก็ยังดีค่ะ
11. ต้องการเปลี่ยนสายงาน เขียนเรซูเม่อย่างไร
เริ่มต้นด้วย การหาจุดเชื่อมโยงกันระหว่างตัวเรา กับงานในปัจจุบัน และตำแหน่งในสายงานใหม่ที่ต้องการสมัคร ว่ามีสิ่งใดที่นำมาเป็นจุดเด่นในการเขียน resume ได้บ้าง อาจเป็น
- ทักษะที่ใช้ในการทำงานที่เหมือนกัน ซึ่งเราสามารถดึงทักษะนั้นมาเขียนเป็นจุดขายใน resume ของเราได้ แล้วอธิบายเป็นข้อย่อยว่าผ่านงานอะไรมาบ้างในทักษะนั้น
- หรืออาจเป็น ความสามารถพิเศษ ที่เรามี และจำเป็นหรือเกี่ยวข้องกับ การทำงานในตำแหน่งที่ต้องการสมัคร
- หรืออาจเป็น รางวัลความสำเร็จต่าง ๆ ที่ผ่านมา เช่น ใบประกาศนียบัตรที่เคยได้รับ ถ้วยรางวัล เหรียญรางวัล รางวัลชมเชย ผลงานที่ผ่านมาที่เกี่ยวข้องกับงานที่ต้องการสมัคร ไม่ว่าจะเป็นผลงานที่เล็กน้อยหรือใหญ่โตแค่ไหน ขอให้เกี่ยวกับตำแหน่งงานที่สมัครก็เขียนในเรซูเม่ได้ทั้งนั้นค่ะ
- หรืออาจเป็น ความสนใจพิเศษอื่น ๆ ของเราที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งงานใหม่ที่ต้องการสมัคร
เขียนเฉพาะหัวข้อที่เรามีคุณสมบัติ แล้วอธิบายรายละเอียดเป็นหัวข้อย่อยเรียงลำดับลงมา ฟอร์แมตแบบ functional จะช่วยเน้นทักษะและดึงจุดเด่นในตัวเราออกมาได้ และแอดมินแนะนำฟอร์แมตการเขียนแบบผสมที่จะช่วยให้เข้าใจทั้งเรื่องทักษะและลำดับเวลาง่ายขึ้น
12. ไม่แน่ใจว่าจะใช้ Tense อะไรในการเขียน resume ภาษาอังกฤษ?
บทความที่เกี่ยวข้อง
- 5 ข้อควรทำ vs ไม่ควรทำในการเขียน resume สมัครงาน + เคล็ดลับให้ได้งาน
- รวบรวมประโยคตัวอย่างการเขียน resume ภาษาอังกฤษแบ่งตามหัวข้อ
- ตัวอย่าง resume เวอร์ชั่นเต็มสำหรับนักศึกษาจบใหม่ ครบทุกหัวข้อ
- Template เรซูเม่ช่วยจัดระเบียบเนื้อหาการเขียน
ขอบคุณรูปภาพจาก www.freepik.com